วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Project Initiation การริเริ่มโครงการ

Project Initiation: การริเริ่มโครงการ
            โครงการ (project) ตามนิยามของ ISO 9000:2005 หมายถึง กระบวนการที่มีความเฉพาะเจาะจงและประกอบด้วยชุดของ ความร่วมมือและการควบคุมกิจกรรม โดยมีการกำหนดวันที่เริ่มต้นและวันที่สิ้นสุด ที่ต้องดำเนินการเพื่อให้บรรลุ วัตถุประสงค์ที่กำหนดและเป็นไปตามข้อกำหนดที่ระบุ รวมถึงเวลาที่กำหนด งบประมาณ และทรัพยากร
             การบริหารจัดการโครงการ (project management) ตามนิยามของ ISO 10006:2005 หมายถึง การวางแผน การจัดองค์การ การเฝ้า ติดตาม การควบคุม และการรายงานผลประเด็นต่าง ๆ ทั้งหมดของโครงการ และการสร้างจูงใจผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อให้บรรลุ วัตถุประสงค์ของโครงการ การบริหารจัดการโครงการนั้น เป็นกระบวนการที่มีโครงสร้างของระเบียบข้อบังคับตามวิธีการของ
Plan-Do-Check-Act: PDCA โดย สามารถกำหนดขั้นตอนการดำเนินงานเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้
1.      การริเริ่มโครงการ (project initiation)
2.      การวางแผนโครงการ (project planning)
3.      การดำเนินโครงการ (project execution)
4.      การเฝ้าติดตามและการควบคุมโครงการ (project monitoring & control)
5.      การทบทวนโครงการและปิดโครงการ (project review & close)

ซึ่งในแต่ละขั้นตอนก็จะมีขั้นตอนย่อยๆลึกลงไป ในที่นี้จะขอแสดงรายละเอียดในขั้นตอนที่หนึ่งให้ทราบเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในขั้นตอนเริ่มแรก เพราะขั้นตอนการริเริ่มโครงการนั้นเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากเพราะหากไม่มีการวางแผนที่ดีแล้ว โครงการนั้นๆก็มีความเสี่ยงสูงที่จะได้ข้อมูลไม่มีประสิทธิภาพนำไปสู่การล้มเหลวของโครงการ

การริเริ่มโครงการ (project initiation) การเริ่มต้นจัดทำโครงการส่วนมากจะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับ ปัญหาที่เกิดขึ้นของธุรกิจหรือไม่ก็เป็นโอกาสทางธุรกิจที่มองเห็นและต้องการจะไปให้ถึงโอกาสนั้นซึ่งจะต้องเริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อกำหนดของลูกค้าและองค์การที่เกี่ยวข้อง และ ข้อมูลในอดีตที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการตั้งสมมติฐานของผลสำเร็จของโครงการเพื่อก่อให้เกิดผลการศึกษาด้านความเป็นไปได้ของโครงการ(feasibility study) และการตัดสินใจดำเนินการทางธุรกิจอย่างมีเหตุผล

ผลจากการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (feasibility study) จะก่อให้เกิดประโยชน์ ได้แก่
  • ·  การพิจารณาสถานการณ์ทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ปัญหา และโอกาสในการปรับปรุง
  • ·   การศึกษาวิจัยและและเปรียบเทียบข้อมูลทางอุตสาหกรรม (benchmark) เทคโนโลยีและวิธีการ การหาทางในการแก้ไขปัญหาทางธุรกิจ
  • ·  การอธิบายทางเลือกในการดำเนินงาน ประโยชน์และความเสี่ยงที่ได้รับ สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การประเมินผลตอบแทนจากการ ลงทุน (Return on Investment: ROI) จะนำไปสู่การตัดสินใจการ ดำเนินโครงการว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจหรือไม่



ขั้นตอนหรือกิจกรรมในการริเริ่มโครงการ (Project Initiation Activities) ประกอบด้วย







ในส่วนแรกจะขออธิบายขั้นตอน Develop a Business Case
โดยวิธีการเขียน Business Case นั้นจะมีทั้งหมด 7 ขั้นตอนดังนี้
  1.      จะต้องระบุลักษณะหรือพื้นหลังของธุรกิจหรือโครงการว่าเป็นประเภทใด เกี่ยวข้องกับกิจกรรมใดบ้างนอกจากนี้ยังรวมไปถึงการ ระบุปัญหา หรือโอกาสที่เกิดขึ้นกับธุรกิจเป็นต้น (Background/Project Definition statement)
  2.       ตั้งเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่โครงการหรือธุรกิจต้องการ (Objective/ desired outcome)
  3.       วิเคราะห์สถานการณ์หรือเหตุการณ์ทางธุรกิจ สภาพตลาดในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร (Current Situation
  4.        แนะนำ หรือ เสนอแนะแนวทางแก้ปัญหา (Recommendation/ Solution)
·       กำหนดทางเลือกในการแก้ปัญหา ซึ่งควรจะต้องมีมากกว่า 1 ทางเลือก
·       กำหนดผลประโยชน์ ข้อได้เปรียบ ที่ธุรกิจหรือโครงการของเราจะได้
·       ประมาณต้นทุน หรือ ค่าใช้จ่ายในการทำโครงการ
·       ประเมินความเหมาะสมของโครงการที่จะเกิดขึ้น
·       ระบุความเสี่ยง หากเกิดกรณีไม่คาดคิด โดยในการประเมินความเหมาะสมของโครงการนั้นจำเป็นอย่างมากที่จะต้องกำหนดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นทั้ง  3 กรณี คือ Best case, Base case และ Worst case.
·แนะนำวิธีในการแก้ไขปัญหาโดยอธิบายขั้นตอนและวิธีการลงมือปฎิบัติ(Describe the implementation approach)

5  กำหนดตัวชี้วัด ความสำเร็จที่เกิดจากการลงมือปฎิบัติ  (Success Criteria/ Measure)
6  Support Required
 Next step/Time

เมื่อลงมือปฎิบัติตามขั้นตอนในส่วนแรกเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วขั้นต่อไปจะเป็นการUndertake a Feasibility study ซึ่งจะกล่าวในครั้งต่อไป ทางกลุ่มขอเชิญชวนทุกท่านรับชมคำอธิบายและขั้นตอนการเขียน Business Case โดยละเอียดอีกครั้ง 




ของคุณสำหรับการติดตามชม 
   เอกสารอ้างอิง
  Special Thank
1.      The Project Management Life Cycle Handbook.
2.      Project Management. Project Initiation. 24 August 2016. Available at http://www.tpa.or.th/publisher/pdfFileDownloadS/FQ150_p022-27.pdf
3.      Project Management dashboard. Project Business Case. 24 August 2016. Available at


















วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

เคยเห็น หุ่นยนต์จัดยาหรือไม่

รู้หรือไม่
โรงพยาบาลบารุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็น โรงพยาบาลแห่งแรกในเอเชีย ที่ได้รับการรับรอง คุณภาพระดับสากล ในการให้บริการโรงพยาบาลเอกชนขนาด 580 เตียง โดยทีมงานบริหารจากนานาประเทศ พร้อมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกว่า 1,200 ท่าน โรงพยาบาลบารุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานคร มีผู้ใช้บริการจานวน 1.1 ล้านคนต่อปี เป็นผู้ใช้บริการชาวต่างประเทศกว่า 520,000 คนต่อปี จาก 190 ประเทศทั่วโลกนอกจากนี้ในด้านการช่วยเหลือสังคม นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมูลนิธิโรงพยาบาลบารุงราษฎร์ในปี พ..2533 มูลนิธิฯ ได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการกุศลและให้การศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคมมาโดยตลอด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมส่งเสริมและดูแลคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น ตลอดระยะเวลากว่า 24 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ช่วยเหลือชาวไทย ผู้ด้อยโอกาสกว่า 100,000 คน ด้วยการมอบบริการตรวจสุขภาพและการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ แก่เด็กโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
เพื่อลดความผิดพลาดในการจ่ายยาแล้วทางโรงพยาบาบได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการดูแลผู้ป่วยและในการควบคุมคุณภาพในการให้บริการ

“Pharmacy Robot improves patient care and safety”
โรงพยาบาลบารุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ติดตั้งระบบจัดยาที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งควบคุมในเรื่องการจ่ายยา การจัดเก็บยา รวมถึงการบรรจุหีบห่อ ซึ่งมีบาร์โค้ดกาหนดปริมาณยาที่ใช้เป็นครั้งๆ ระบบการจัดการยาอัตโนมัติที่ทันสมัยนี้เป็นเทคโนโลยีของ Swisslog ซึ่งเรียกกันว่า หุ่นยนต์จัดยา’ (Pharmacy Robot) โดยบารุงราษฎร์เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในเอเชียที่ได้นาระบบนี้มาใช้ในการบริหารจัดการยาให้แก่ผู้ป่วย โรงพยาบาลได้นำเทคโนโลยี RFID เข้ามาใช้เพื่อปรับปรุง พัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานด้วย นับว่าเป็นต้นแบบในการพัฒนาเลยก็ว่าได้

                ในโรงพยาบาลเล็กๆ โดยความคิดส่วนตัวของ blogger อาจจะไม่จำเป็นถึงการเอาเทคโนโลยีระดับสูงเข้ามาใช้เหมือนโรงพยาบาลใหญ่ๆก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องพัฒนาบุคคลากรให้มีคุณภาพ พร้อมที่จะ brainstorms วิธีการต่างๆ เพราะวิธีทีให้กระบวนงานมีคุณภาพนั้นมีอีกมากมาก หากช่วยกันคิด ค่อยๆ ปรับปรุง รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงลงมาให้กำลังใจ สนับสนุน ร่วมกันกำหนดทิศทางในการทำงาน เชื่อเหลือเกินว่า แม้จะเป็นโรงพยาบาลเล็กๆ ก็สามารถมีบริการที่เทียบเท่าสากลได้ 
หากใครสนใจสามารถเค้าชมได้ที่ Link นี้นะคะ

https://youtu.be/sXBWB1wQm20









ว่าด้วยเรื่อง Six Sigma

                ในปัจจุบันธุรกิจต่าง ต้องแข่งขันกันในทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาคุณภาพ การสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า การเพิ่มผลผลิตและการลดต้นทุน ซึ่งหากองค์กรต่างๆไม่มีความรู้ความเข้าใจในการเลือกอุปกรณ์ เครื่องมือที่จะนำมาใช้เพื่อพัฒนาแล้วก็อาจจะนำมาซึ่งจุดจบของธุรกิจเลยก็เป็นได้ดังนั้นจึงมีหลายท่านอาจมีคำถามเกิดขึ้นในใจว่าแล้วเครื่องมืออะไรที่เหมาะสมและควรนำมาใช้ Six Sigma เป็นคำตอบสำหรับองค์กรแห่งการเรียนรู้และสามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วหากมีการนำไปปฎิบัติอย่างทั่วถึงทั้งองค์กร
                Six sigma เป็นเครื่องมือในการบริหารโดยมีเป้าหมายที่จะปรับปรุงกระบวนงานเพื่อลดความผิดพลาด ลดความสูญเปล่า และลดการแก้ไขตัวชิ้นงาน พัฒนาประสิทธิภาพในการผลิต เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้านำไปสู่การเพิ่มรายได้ขององค์กร นอกจากนั้นยังมุ่งเน้นในการสอนให้พนักงานรู้แนวทางในการทำธุรกิจอย่างเป็นระบบและมีหลักการ โดยชื่อของ Six Sigma นั้นได้มาจากแนวความคิดที่ว่าโอกาสที่เกิดของเสียขึ้น 3.4 ครั้งต่อการผลิตหรือการปฏิบัติงาน 1 ล้าน สะท้อนให้เห็นว่าของเสียที่เกิดขึ้นจะน้อยมากๆ และ Six sigma จะดีที่สุดเมื่อทุกคนในองค์การร่วมมือกันตั้งแต่ CEO ไปจนถึงบุคลากรทั่วไปในองค์การ ซึ่งเป็นการรวมกันระหว่างอานุภาพแห่งคน (Power of people) และอานุภาพแห่งกระบวนการ (Process Power) ซึ่งถ้าตัว Six sigma มีค่าสูงหรือมีความผันแปรมากขึ้นเท่าไร ก็เปรียบเสมือนมีการทำข้อผิดพลาดมากขึ้นนั่นเอง
หลักการสำคัญของกลยุทธ์ Six Sigma คือกระบวนการหรือวิธีการปฏิบัติงานที่มีผลโดยตรงต่อความต้องการของลูกค้าและมาตรฐานซึ่งมีอยู่ขั้นตอน (DMAIC)  
1.      Define คือ ขั้นตอนของการนิยามหรือกำหนดปัญหา เลือกโครงการที่จะทำการปรับปรุงหรือออกแบบ ทั้งนี้ต้องเน้นการหาความต้องการหรือความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก เพื่อให้โครงการที่เลือกทำนั้น คุ้มค่า ตรงประเด็น ไม่เสียเวลาเปล่า
2.  Measure คือ ขั้นตอนการวัด เช่น วัดความสามารถของกระบวนการวัดของเสีย วัดประสิทธิผล ฯลฯ เพื่อนำมาวิเคราะห์ตัวแปรต่างๆ
3.  Analyze คือ ขั้นตอนวิเคราะห์ (จากข้อมูลที่วัดมาได้) เพื่อหาหรือพิสูจน์ตัวแปรที่สำคัญที่สุดในกระบวนการ (Key Process Variables) ที่เป็นต้นตอสาเหตุของปัญหาที่นิยมไว้ เช่น การทำไม่ได้ตามข้อกำหนดของลูกค้าหรือเป้าหมายการออกแบบที่กำหนด ฯลฯ ในขั้นตอนนี้ถือว่าสำคัญมากเพราะถ้าหาตัวแปรไม่เจอหรือหาผิดก็อาจจะปรับปรุงผิดที่หรือปัญหาก็จะได้รับการแก้ที่ไม่ตรงจุดได้
4.    Improve คือ ขั้นตอนการปรับปรุง หลังจากที่เราได้ตัวแปรที่มีผลต่อกระบวนการแล้วเราก็ทำการลงมือแก้ปัญหา เพื่อขจัดสาเหตุที่วิเคราะห์ได้หรือในการออกแบบขั้นนี้จะเป็นการออกแบบกระบวนการเพื่อขจัดหรือควบคุมตัวแปรที่วิเคระห์ได้
5.       Control คือขั้นตอนของการควบคุมเพื่อให้กระบวนการนั้นนิ่ง หมายถึงอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสม่ำเสมอ  
                ในการประยุกต์  DMAIC มาใช้ในการดำเนินการปรับปรุงกระบวนการงานให้มีคุณภาพนั้นจำเป็นที่จะต้องเลือกเครื่องมือที่ถูกต้องและเหมาะสม
จากตารางด้านล่างคือข้อมูลที่แสดงเครื่องมือที่ได้รับความนิยมที่ถูกเลือกนำมาใช้ในแต่ละขั้นตอนดังนี้
กระบวนการ
เครื่องมือต่างๆ ที่นิยมนำมาใช้
Define (นิยาม/กำหนด)
New  7 Tools, Quality Function Deployment(QFD), Process Flowchart, Process Mapping, Risk Analysis, VA/VE, ผังพาเรโต, Brainstorming, Benchmarking, ต้นทุนคุณภาพ
Measure (การวัด)
ผังควบคุม (Control Chart), ผังพาเรโต้, Run Charts, Process Mapping, Gage R&R
Check Sheets, Box Plots, ดัชนีวัดผลงาน, (KPI, Balanceed Scorcard )
Analyze
( วิเคราะห์ )
การวิเคราะห์ระบบการวัด (MSA), การออกแบบการทดลอง(DOE), Evolutionary operations (EVOP), การวิเคราะห์ความล้มเหลวและผลกระทบ(FMEA)
New 7 tools, วิศวกรรม/การวิเคราะห์คุณค่า, ฝังเหตุและผล (Cause& Effect Diagrams)
แผนภูมิต้นไม้, วิเคราะห์จุดที่ติดขัด ( Theory of Constrain),การวิเคราะห์ความสำคัญ Correlation analysis,การจำลองกระบวนการ(Process simulation), ANOVA การทดสอบสมมติฐาน
Improve
(ปรับปรุง)
การวิเคราะห์ความล้มเหลวและผลกระทบ ( FMEA), New 7Tools, การออกแบบการทดลอง (DOE),Evolution operations (EVOP),การจำลองกระบวนการ( Process simulation
การป้องกันข้อผิดพลาด(Mistake proofing, Poka-Yoke ,Fool proof )
Control
( ควบคุม )
การป้องกันข้อผิดพลาด(Mistakeproofing, Poka-Yoke, Fool proof ), ผังควบคุมกระบวนการ             ( Control Charts), การควบคุมกระบวนการด้วบกลวิธีทางสถิติ (SPC)
การวิเคราะห์ความสามารถ

                เครื่องมือแต่ละอย่างที่นำมาใช้ในแต่ละขั้นตอนของ DMAIC ตามที่สรุปในตารางข้างต้น จะมีความจำเป็นแตกต่างกันไปในแต่ละองค์กร และอาจจะอยู่ในขั้นตอนไหนก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องนำไปใช้ทั้งหมด และในแต่ละโครงการก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่เหมือนกัน แต่ละเครื่องมือก็มีความยากง่ายแตกต่างกัน
ขั้นตอนในการดำเนินงานปรับปรุงกระบวนการตามวิธีการ Six Sigma มีดังนี้
ผู้บริหารสูงสุด CEOรับทราบถึงความไม่พอใจของลูกค้าที่มีต่อสินค้าหรือบริการของบริษัทจึงแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง เพื่อดูแลแก้ไขปัญหาโดยในลำดับแรกผู้บริหารระดับสูงจะทำการ
1.             ระบุหรือค้นหาปัญหาที่เกิด (Define) แล้วแยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้นออกเป็นโครงการต่างๆ เลือกโครงการที่มีผลกระทบสูงมาปรับปรุงก่อน นำโครงการที่เลือกแล้วมาทำเป็นแผนผังกระบวนการ เพื่อให้เห็นความเชื่อมโยงของขั้นตอนเพื่อให้เห็นจุดที่เกิดความผิดพลาดได้ชัดขึ้น จากตอนนี้จะทำให้สามารถทำการคัดเลือกทีมงานที่จะมาทำงานได้  โดยเริ่มจากการกำหนดขอบเขตของปัญหา แล้วจึงค้นหาลูกค้าและความต้องการของลูกค้า แล้วค่อยจัดทำผัง CTQ  เขียนProcess Map    กำหนดขอบเขตของโครงการ แล้วปรับปรุง Project –Charter จากนั้น Black Belt หรือ  project manager ต้องทำการ
2.             วัดประเมินค่า (Measure)  ของปัญหาที่เกิดขึ้นโดยตรวจสอบระบบการวัดและการเก็บข้อมูล โดยเริ่มจาก ค้นหาความผันแปรของกระบวนการ-กำหนดตัวชีวัดของกระบวนการ-กำหนดชนิดของข้อมูล ที่จะเก็บ-กำหนดวิธีการเก็บตัวอย่าง-ทำการวิเคราะห์ระบบการวัดผล -วิเคราะห์ขีดความสามารถของกระบวนการแล้วจึงค่อยประเมินสภาพปัญหาปัจจุบันของปัญหาจากข้อมูลที่วัดได้ แล้ววางแนวทางการดำเนินงาน โดยประเมินตัวเลขเป้าหมายที่ต้องการปรับปรุง รวมถึงระยะเวลาในการทำงาน แล้วรายงานให้  ผู้บริหารระดับสูง รับรู้ เพื่อขออนุมัติดำเนินการต่อไป
3.             จากนั้น Black Belt หรือ project managerจะนำข้อมูลที่วัดได้ มาวิเคราะห์(Analyze)  เพื่อหาปัจจัยที่แท้จริงของความผิดพลาด โดยใช้เทคนิคด้านสถิติ โดยการ วิเคราะห์ข้อมูล  วิเคราะห์กระบวนการ วิเคราะห์หาต้นตอของความผันแปร ประยุกต์ใช้  Graphical   Analysis Tools ประยุกต์ใช้  Statistical  Analytical Tools  สรุปรากเหง้าของปัญหา และนำข้อมูลจาการวิเคราะห์ที่ได้ เสนอให้ ผู้บริหารระดับสูงพิจารณา 
4.             จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอน Improve หรือ ปรับปรุงแก้ไข ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน โดยการตั้งสมมติฐานถึงวิธีการแก้ไขปัญหาโดย ค้นหาทางเลือกที่เป็นไปได้  คัดเลือกทางเลือก ทดลองเพื่อหาทางเลือกที่ดีที่สุด ,สร้าง "Should be"  Process Map, ปรับปรุงกระบวนการโดยใช้ FMEAมาวิเคราะห์ความ   คุ้มค่า/คุ้มทุน จนถึงขั้นออกแบบแผนการปรับปรุง โดยอาจต้องปรับปรุงกระบวนการขึ้นใหม่ ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น และเพิ่มขั้นตอนที่จำเป็น ที่สำคัญคือต้องขจัดปัญหาที่แท้จริงของการผิดพลาดให้ได้
5.             เมื่อสามารถปรับปรุงจนได้ผลตามเป้าหมายแล้ว ก็ทำเป็นแบบแผนในการ ควบคุมและป้องกัน Control  ไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านั้นขึ้นมาได้อีกโดยกำหนดกลยุทธ์ในการควบคุมผลหรือ จัดทำแผน ควบคุมผล ,ปรับปรุงคู่มือปฏิบัติงาน,จัดทำแผนฝึกอบรม เมื่อสามารถแก้ไขปัญหาโครงการเดิมได้แล้ว จึงค่อยก้าวไปแก้ไขปัญหาโครงการอื่นๆ ต่อไป โดยกำหนดเป็นแผนที่ต่อเนื่องตลอดไป
ข้อดีของการใช้ Six Sigma
1.             กระบวนการ Six Sigma ทำให้เรารู้ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า นำไปสู่การผลิตสินค้าและบริการได้มีประสิทธิภาพตรงตามความต้องการ ลดปริมาณชิ้นงานที่เสียให้น้อยลง ลดต้นทุนในการผลิตนำไปสู่การเพิ่มรายได้ให้กับองค์กร
2.             กระบวนการ Six Sigma จะต้องมีการวัดหรือประเมินเป็นตัวเลขที่ชัดเจน สามารถตรวจสอบได้ จึงส่งผลให้สามารถประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนออกมาเป็นตัวเลขได้ง่ายและช่วยให้การตัดสินใจของผู้บริหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3.              สามารถลดความสูญเสียโอกาสอย่างมีระบบและรวดเร็วโดยการนำกระบวนการทางสถิติมาใช้
4.       พัฒนาบุคลากรในองค์การให้มีศักยภาพสูงขึ้นตอบสนองต่อกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วและปรับองค์การให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization)
ข้อเสียของการใช้ Six Sigma
1)      ต้นทุนค่อนข้างสูงเหมาะสำหรับ Mass Productions จำนวนร้อยล้านชิ้นขึ้นไปหรือไม่เหมาะสำหรับการผลิตที่น้อยชิ้น
2)      เครื่องมือวัดใช้ความละเอียดสูงซึ่งก็ส่งผลให้มีต้นทุนในการทำที่สูงด้วย
3)      อาจทำให้เกิดความวุ่นวายจากการต่อต้านหรือไม่ให้ความร่วมมือของพนักงานในการทำ six sigma สาเหตุก็เพราะวิธีดังกล่าวเน้นความร่วมมือของทุกคนในองค์กรซึ่งโดยธรรมชาติมนุษย์มักจะต่อต้านหรือกลัวความเปลี่ยนแปลงทั้งๆที่การเปลี่ยนแปลงอาจจะนำพาไปสู่ความสิ่งที่ดีขึ้น เพราะกลัวเสียผลประโยชน์หรือความมั่นคงในงานดังนั้น ก็อาจจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดความวุ่นวายในการผลิตสินค้าหรือบริการก็เป็นได้
4)            ในบางครั้งหากผู้บริหารไม่มีความเข้าใจในกระบวนการอย่างแท้จริงก็อาจจะทำให้เสียเวลา สิ้นเปลืองทรัพยากรและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายได้
  
Reference
 Six Sigma. Retrieved from. 202.143.129.18/kmchainat/research/1277780632_six%20sigma.doc
กาญจนา สร้อยระย้า.(2546). ชำแหละSix Sigma.กรุงเทพมหานคร: สถาบันวิทยาการจัดการแห่งเอเชีย (AIMS).
จุดเด่นของ Six Sigma. Retrieved from .http://www.ge.com/en/company/companyinfo/quality/whatis.htm
ข้อเสียของ Six Sigma. Retrieved from .www.eng.su.ac.th/ie/six%20sigma

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Wow! This is Terminal 2

สำหรับผู้ที่ยังไม่มีโอกาสเห็น terminal 2 version ใหม่ที่สนามบินดอนเมือง หลังปรับปรุงเสร็จ ขอบอก สวยมากๆๆๆๆๆๆๆ แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ในฐานะที่เคยทำงานทั้งสองสนามบิน คือ ดอนเมืองและ สุวรรณภูมิ บอกได้เลยว่า Terminal 2 version ใหม่ที่ดอนเมืองสวยมาก สวยกว่าที่สุวรรณภูมิ สะอาด สีสันสดใส ตกแต่่งทันสมัย นี่ถ้าขนาดใหญ่นะ เทียบกับ ชางจี Changi Airport ของสิงคโปร์ได้เลย สวยจริง ร้านอาหาร brand ดีๆทั้งนั้น สุดยอด
ของไทย อันไหนดี เราต้องสนับสนุน 



 




























เรื่องดีๆของ คุณ Kazuo Inamori

ฮีโร่ผู้มาพลิกฟื้น JAL (Japan Airlines)
Kazuo Inamori ผู้ยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อฟื้นฟู JAL โดยไม่ขอรับค่าตอบแทนแม้แต่เยนเดียว
ใน

ในวันที่ต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย เมื่อต้นปี 2010 เพราะการบริหารที่อุ้ยอ้าย และการเมืองเข้าแทรกแซงนั้น JAL มีหนี้สินมากถึง 25,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งต้องถอนบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์โตเกียวอีกด้วย

ความท้าทายเฉพาะหน้าในขณะนั้นก็คือ จะมีใครที่สามารถเข้ามาพลิกฟื้น JAL ซึ่งอยู่ในอาการโคม่าขนาดนั้น ได้หรือไม่
รัฐบาลญี่ปุ่นได้ทาบทามนาย Kazuo Inamori ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหารบริษัท ยักษ์ใหญ่ระดับโลก Kyocera Corporation ให้เข้ามาเป็นผู้นาในการฟื้นฟู JAL ซึ่งนายอินาโมรินั้น อาจจะถือได้ว่ามีข้อด้อยอยู่ข้อหนึ่งก็คือ เขาไม่เคยมีประสบการณ์หรือความรู้เกี่ยวกับธุรกิจการบินเลย แม้แต่นิดเดียว
นายอินาโมริ เริ่มเข้ามาบริหารงาน JAL เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2010 และหลังจากผ่านไป 6 เดือน เขาให้สัมภาษณ์ว่า เขาต้องรับงานหนักมาก น้าหนักลดลงไปถึง 4 กิโลกรัม 

พร้อมกล่าวว่าสิ่งที่เขาได้พบใน JAL ก็คือ...
- ผู้บริหารและพนักงานแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน องค์กรขาดข้อมูลที่สะท้อนผลประกอบการที่เป็นปัจจุบัน ความรับผิดชอบที่ไม่ชัดเจน รวมทั้งความไม่ใส่ใจอย่างจริงจังของผู้บริหารที่จะพลิกฟื้นองค์กร ถือว่าเป็นองค์กรที่อุ้ยอ้าย และผู้บริหารขาดความรับผิดชอบ
- เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงทีเดียว และนายอินาโมริยังบอกว่า มีข้าราชการเก่าหลายคนที่ใช้เส้นสาย ลาออกก่อนกาหนดเพื่อรับเงินชดเชยก้อนโตจากรัฐบาล แล้วก็เบียดตัวเองเข้ามาเป็นผู้บริหาร JAL ในอัตราเงินเดือนที่สูง

ว่าแล้วนายอินาโมริ ก็ลงมือบริหารความเปลี่ยนแปลงทันที โดยกาหนดให้ผู้บริหารระดับสูงสุด 50 คน ต้องเข้าโครงการฝึกอบรมผู้นา สัปดาห์ละ 4 ครั้ง รวมเวลาฝึกอบรมทั้งหมด 17 ครั้ง เพื่อให้ตระหนักว่า “ผู้นาที่ดีนั้น เป็นเช่นใด โดยเขาเป็นผู้ร่วมบรรยายด้วยถึง 6 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเขาว่าผู้นาที่ดีจะต้องมีความรอบรู้ในเรื่องข้อมูลทางการเงิน มีบุคลิกภาพที่ดี มีความลุ่มหลงในงานที่ทา และความทุ่มเท เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย หลังจากนั้น เขาก็ฝึกอบรมผู้บริหารในระดับถัดไปจนครบ 200 คน บางครั้งเขาก็หิ้วกระป๋องเบียร์ เดินไปแจกพนักงาน แล้วดื่มเบียร์ไป พูดคุยกันไป เพื่อให้เข้าใจความรู้สึกของพนักงาน นอกจากนั้น เขาพยายามลดต้นทุนทุกชนิด ด้วยวิธีการต่างๆ รวมทั้งวีธีการปลุกจิตสานึก ด้วยการติดป้ายราคา สิ่งของและเครื่องใช้ชนิดต่างๆ เช่นกล่องบรรจุกระดาษ ก็ติดป้ายไว้ว่ากระดาษแต่ละแผ่นที่พนักงานหยิบไปใช้นั้น มีราคาแผ่นละเท่าใด เป็นต้น นายอินาโมริ พูดถึงหลักการบริหารธุรกิจที่เน้นไปที่ผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นสิ่งที่ผิดพลาด ‘ใช้เวลาทั้งหมดที่คุณมีอยู่ทาให้พนักงานบริษัทมีความสุข ถ้าคุณต้องการไข่ คุณต้องดูแลแม่ไก่ให้ดี ถ้าคุณทาร้ายหรือฆ่าแม่ไก่ คุณไม่มีทางได้อะไรที่ต้องการ’
ในการพลิกฟื้นสายการบินแจล ให้กลับมามีกาไร คุณลุงอินาโมริ ประกาศรับตาแหน่งซีอีโอ โดยไม่รับเงินเดือนจากนั้นก็พิมพ์สมุดเล่มเล็ก ๆ อธิบายถึงปรัชญาในการบริหารและใช้ชีวิตในวิถีพุทธแจกให้กับพนักงานทุกคน สอนให้พนักงานรู้จักถ่อมตนและทาในสิ่งที่ถูกต้องในชีวิตพร้อมกับทุ่มเทให้กับการเจริญเติบโตของบริษัท ซึ่งนายอินาโมริ ให้สัมภาษณ์บลูมเบิร์กในภายหลังว่า เขาต้องการเปลี่ยนวิธีการคิดของพนักงานทั้งหมดเพื่อทาให้พนักงานภูมิใจในตัวเองและพร้อมที่จะทางานหนักเพื่อบริษัท
อินาโมริ พูดว่า ‘ผู้นาของบริษัทจะต้อง พยายามทาให้พนักงานทั้งหมดมีความสุขทั้งด้านร่างกายและจิตใจ สิ่งนี้เป็นหน้าที่ของผู้นาองค์กร ไม่ใช่ทางานเพื่อผู้ถือหุ้น’ และ ‘การทาให้พนักงานมีความสุข พนักงานจะทางานดีมีประสิทธิภาพมากขึ้นและทาให้รายได้ขององค์กรเพิ่มและบริษัทไม่ควรจะละอายในการทาผลกาไรให้ได้มาก ๆ หากว่าธุรกิจของบริษัทมีส่วนทาให้สังคมดีขึ้น’
นายอินาโมริ ใช้เวลาเพียงสั้นๆเท่านั้น ในการพลิกฟื้น JAL เพราะก่อนสิ้นปีแรก ก็ปรากฏว่าผลประกอบการเริ่มสูงขึ้นกว่าที่คาดหวังแล้ว และหลังจากนั้นก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลับมามีกาไร และสามารถ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ได้อีกครั้ง ในเวลาเพียงไม่ถึง 3 ปี เท่านั้น ความสาเร็จล่าสุด ที่ไม่เกี่ยวกับผลประกอบการโดยตรง ก็คือ JAL ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสายการบินที่ตรงเวลาที่สุด เป็นอันดับหนึ่งของโลก ในปี 2012 การพลิกฟื้น JAL ครั้งนี้ จึงถือเป็นเรื่องราวของความสาเร็จอันยิ่งใหญ่ ที่สถาบันการศึกษาบริหารธุรกิจ จะต้องนาไปใช้เป็นกรณีศึกษา เพื่อสอนนักศึกษาและนักบริหาร อย่างแน่นอน


เขายอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อฟื้นฟู JAL โดยไม่ขอรับค่าตอบแทนแม้แต่เยนเดียว ดร. อินาโมริ เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากวงการทั่วโลก ได้รับเชิญไปบรรยาย ในมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศต่างๆ นับว่าเป็นผู้อาวุโส ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า อายุเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น
ทุกวันนี้ ปรัชญาในการบริหารงานของนายอินาโมริ กลายเป็นสถาบันไปแล้ว ทุกครั้งที่นาย อินาโมริ เปิดการเรียนการสอนเกี่ยวกับปรัชญา การบริหารงานของเขาซึ่งแตกต่างจากตาราเรียนในมหาวิทยาลัยทั้งในญี่ปุ่นและตะวันตก มีเจ้าของกิจการหลายพันคนเข้าฟังแน่นห้องเรียนเสมอ
นาย อินาโมริ พูดว่า เขาเล็คเชอร์ ปรัชญาการบริหารงานสไตล์ทุนนิยมผสมพุทธของเขา ให้กับผู้ฟังฟรีโดยไม่ ถือเป็นการตอบแทนต่อสังคมเป็นส่วนหนึ่งในการดาเนินชีวิตของเขา
..
นอกจากนี้ท่านยังได้เขียนหนังสือ 

Kazuo Inamori 's A passion for success

เป็นหนังสือที่ดีมากๆ ให้แนวคิด หลัก และอะไรอีกหลายๆอย่าง ไม่เพียงเหมาะกับผู้นำ ผู้บริหารเท่านั้นแต่ยังเหมาะสมกับทุกคนในการดำเนินชีวิต

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Don't let anything stop your hungry

Such a nice movie ever. "In Front of Class", This movie was recommended by my HR teacher.
..
....... Disability doesn't matter as long as you never let it stop you.
..............  Everyone can ever learn  and don't stop to catch you dream.



สำหรับคนที่มีฝันอย่าเพิ่งหมดหวังหากตอนนี้ยังไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจนะคะ ขอแค่ พยายาม อดทน ฝึกฝน คิดดี ทำดี คิดที่จะทำให้สังคมบ้าง อย่่าเอาแต่ประโยชน์จากสังคมแต่เพียงอย่างเดียว เชื่อเหลือเกินว่า สิ่งที่เรามุ่งหวังจะต้องบังเกิดค่ะ  โดยเริ่มจากเสพสิ่งดีๆ จาก วีดีโอนี้ก่อนเลยนะคะ